Manufacturing Resource Planning:MRP
เป็นระบบที่รวมการวางแผนและบริหารทรัพยากรการผลิตอื่นๆนอกจากการวางแผนแลควบคุมกำลังการผลิตและวัตถุดิบการผลิตเข้าไปในระบบด้วยเป็นระบบที่ช่วยบริหารการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดซึ่งโปรแกรมจะช่วยบริหารจัดการ/ควบคุมตั้งแต่ฝ่ายขาย ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายวางแผน ฝ่ายผลิต ฝ่ายสินค้าคงคลัง ฝ่ายบัญชีต้นทุนการผลิตโดยข้อมูลจะเชื่อมโยงกันทั้งองค์กรเป็นระบบที่ช่วยในการวางแผนเกี่ยวกับความต้องการใช้วัตถุดิบ(MRP) โดยสามารถคำนวณจำนวนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต จากการสั่งซื้อ (Order) ของลูกค้าเพื่อจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบในปริมาณและช่วงเวลาที่เหมาะสมส่งผลให้ต้นทุนขององค์ลดลง และทำให้ปริมาณคงคลังอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่สูงหรือต่ำจนเกิน MRP II ได้วิวัฒนาการถึงขั้นที่รวมหน้าที่ต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย การวางแผนงบการจัดซื้อวัตถุดิบการวางแผนต้นทุนสินค้าคงคลังของระบบบริหารสินค้าคงคลังการวางแผนกำลังคนที่สัมพันธ์กับกำลังการผลิต ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนของการผลิตเข้าอยู่ในระบบMRPIIด้วยความสามารถนี้ทำให้ MRP II เป็นระบบที่สามารถส่งข้อมูลทุกชนิดที่ระบบบัญชีต้องการให้แก่ระบบบัญชีได้ นั่นก็คือ MRP II เป็นระบบที่รวมเอา Closed Loop MRP ,ระบบบัญชี และระบบซิมูเลชัน เข้าด้วยกัน เป็นการขยายขอบเขตของสิ่งที่สามารถวางแผนและบริหารให้กว้างขวางออกไปยิ่งขึ้นกว่าเดิมโดยการใช้ระบบ MRP II ธุรกิจการผลิตสามารถที่จะวางแผนและบริหารระบบงานต่าง ๆ คือ การขาย บัญชี บุคคล การผลิต และ สินค้าคงคลัง เข้าด้วยกันได้อย่างบูรณาการ ด้วยความสามารถนี้ทำให้ MRP II เริ่มถูกเรียกว่า BRP (=Business Resource Planning) และเริ่มเป็นแนวคิดหลักของระบบ CIM (=Computer Integrated Manufacturing)โดยการใช้ระบบ MRP II ธุรกิจการผลิตสามารถที่จะวางแผนและบริหารระบบงานต่าง ๆ คือ การขาย บัญชี บุคคล การผลิต และ สินค้าคงคลัง เข้าด้วยกันได้อย่างบูรณาการด้วยความสามารถนี้ทำให้MRPIIเป็นแนวคิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต MRP II (Menufacturing Resource Planning II )
องค์ประกอบของระบบ MRP
ในการทำงานภายใต้ระบบ MRP จะมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 3 ส่วนคือ
(1) ส่วนนำเข้าข้อมูล(Input)
(2) ส่วนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ MRP (MRP Computer Program) และ
(3) ส่วนผลได้ (Output)
องค์ประกอบของระบบ MRP
ในการทำงานภายใต้ระบบ MRP จะมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 3 ส่วนคือ
(1) ส่วนนำเข้าข้อมูล(Input)
(2) ส่วนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ MRP (MRP Computer Program) และ
(3) ส่วนผลได้ (Output)
1. กลยุทธ์ (Business Strategy) กับกลยุทธ์ระบบสารสนเทศ (IS St) และกลยุทธ์เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) มีความสัมพันธ์กันอย่างไร อธิบาย
ตอบ กลยุทธ์ธุรกิจ
การเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันที่รุนแรงของภาคธุรกิจในปัจจุบันส่งผลให้องค์การธุรกิจสมัยใหม่ต้องมีการดำเนินการทางกลยุทธ์ตลอดช่วงชีวิตขององค์การเพราะต้องการให้มีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง
เน้นความแตกต่างของสินค้าขยายขนาดการทำธุรกิจซึ่งอาจลดความหลากหลายของสินค้าโดยเน้นผลิตเฉพาะสินค้าที่มีคุณภาพเหนือกว่าคู่แข่งขัน
1) เหตุผลที่ธุรกิจต้องใช้กลยุทธ์ ที่สำคัญในปัจจุบัน คือ
1. แรงผลักดันจากลูกค้า (customer Driven) เพราะการเปิดเสรีทางการค้าในอุตสาหกรรม และ
บริการ ลูกค้ามีทางเลือกในการตัดสินใจมากขึ้น ธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับลูกค้า
2. การแข่งขันระดับโลก (global competition) การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีการขยายข้าม
พรมแดน ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อการแข่งขันในเชิงรุก - รับ
3. การกำหนดขนาดที่เหมาะสม (right sizing) การเปลี่ยนแปลงของ ไอทีจะต้อง ปรับรูปแบบ
โครงสร้างองค์การให้เหมาะสม ปรับบุคลากร และการคิดอย่างมีระบบ การใช้ทรัพยากรร่วมกัน
4. คุณภาพ (Quality) พัฒนาคุณภาพ และ บริการ นำการจัดการสมัยใหม่
- การจัดการคุณภาพโดยรวม (TQM)
- การผลิตโดยไม่มีข้อผิดพลาด (Zero Defect)
- คุณภาพจากแหล่งกำเนิด (Quality of Source)
5. เทคโนโลยี (Technology) เครื่องมือสำคัญในการสร้างความได้เปรียบ
2) กลยุทธ์พื้นฐาน ด้านไอที
1. กลยุทธ์การเป็นผู้นำด้านการมีต้นทุนต่ำ (lower cost leadership)องค์การจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันก็ต่อเมื่อสามารถผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงกว่าแก่ลูกค้า หรือผลิตสินค้าที่มีคุณภาพทัดเทียมกันได้ในราคาต้นทุนที่ต่ำกว่า จึงควรพัฒนาระบบที่สนับสนุนกิจกรรมที่สามารถเพิ่มมุลค่าให้แก่สินค้าและบริการให้มากที่สุดการจัดการโซ่อุปทานและระบบสนองลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ การใช้รูปแบบโซ่มูลค่า (value chain
model) จะมององค์การในลักษณะของโซ่ของกิจกรรมต่าง ๆ ที่ค่อยเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าหรือบริการ
ซึ่งการนำระบบสารสนเทศ l มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดรูปแบบของโซ่มูลค่าสินค้า คือโซ่อุปทาน (supply chain) คือความพยายามที่จะให้เกิดประสิทธิภาพด้านการผลิตและจัดส่งสินค้าหรือบริการจากผู้จัดส่งสินค้าขั้นตอนแรกจนถึงลูกค้าขั้นตอนสุดท้ายจะเน้นการทำกิจกรรมการสั่งซื้อวัตถุดิบและส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปอย่างราบรื่นและประหยัดที่สุดจะเป็นส่วนหนึ่งของ มูลค่าเพิ่ม (value chain)ซึ่งกว้างกว่าจะดูตั้งแต่ขบวนการผลิตกิจกรรมที่เกี่ยวกับการแปรรูปวัตถุดิบไปจนถึงสินค้าที่ส่งถึงผู้บริโภคSCM คือ ปรัชญาหรือแนวคิดที่นำมาสนับสนุนการทำโซ่อุปทานที่ใช้เทคโนโลยี
ความสำเร็จของโซ่อุปทานย่อมมีส่วนของการวางแผนทรัพยากรองค์กร (enterprise resource planning - ERP)
ERP คือ การวางแผนควบคุมการปฏิบัติงานและจัดการสารสนเทศจากการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นในโซ่อุปทานแต่ไม่ได้มุ่งเน้น การจัดการสายโซ่อุปทานเอง
2. กลยุทธ์การสร้างความแตกต่างในตัวสินค้าและบริการ (differentiation)ระบบสารสนเทศสำหรับสินค้าและบริการ (information system products and services)ถูกนำมาใช้ในการสร้างสินค้าหรือบริการที่ไม่เหมือนสินค้าของผู้อื่น ทำให้สินค้าแตกต่าง (productdifferentiation) ทำให้ลูกค้าเกิดการยึดติดในสินค้าหรือบริการการกำหนดคุณลักษณะตลาดเป้าหมายสำหรับสินค้าหรือบริการที่ต้องการความโดดเด่นเหนือสินค้าอื่น จะเป็นตลาดที่แคบลงหรือมีคู่แข่งที่น้อยลง การสร้างความแตกต่างที่เป้าหมาย (focused differentiation)
จะ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจำเพาะในจุดที่ต้องการเน้นสินค้าและ บริการ หรือลูกค้า เช่นการค้นหา รูปแบบ รสนิยม ความชอบ เพื่อจะได้ทราบถึงความต้องการเฉพาะกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่มเทคนิคการค้นหาข้อมูลในลักษณะของการทำเหมืองข้อมูล (data mining)
3. กลยุทธ์การสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจด้านสินค้าและบริการใหม่ ๆ (innovation)ความต้องการในรูปแบบผลิตภัณฑ์ และ บริการที่ดี มีคุณภาพ สร้างความพึงพอใจ ประทับใจโดยใช้ไอทีในการสร้างสินค้าหรือบริการที่ไม่เหมือนสินค้าของผู้อื่น ทำให้สินค้าแตกต่าง (productdifferentiation) ทำให้ลูกค้าเกิดการยึดติดในสินค้าหรือบริการนั้น ๆ (brand and loyalty)
4. กลยุทธ์การขยายธุรกิจ (promote growth)ขยายขนาดการทำธุรกิจ ซึ่งอาจลดความหลากหลายของสินค้าโดยเน้นผลิตเฉพาะสินค้าที่มีคุณภาพเหนือกว่าคู่แข่งขัน เป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าหรือบริการ
5. กลยุทธ์การสร้างหรือหาพันธมิตร (develop alliances)การเป็นหุ้นส่วนสารสนเทศ (information partnerships)องค์กรขนาดใหญ่อาจจะผนวกระบบสารสนเทศเข้าด้วยกันเป็นหุ้นส่วนเฉพาะในด้านการใช้งานข่าวสารสารสนเทศ เช่น มีความร่วมมือกันมากขึ้นในระหว่างองค์กรที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์องค์การและกลยุทธ์ในการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
การกำหนดกลยุทธ์เป็นหัวใจหลักในการกำหนดทิศทางการดำเนินงานขององค์การและใช้เป็นหลักในการกำหนดกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศทั้ง 3 ด้าน คือกลยุทธ์ระบบสารสนเทศ กลยุทธ์เทคโนโลยีสารสนเทศขององค์การ และกลยุทธ์ระบบการจัดการสารสนเทศดังนั้น กลยุทธ์ทั้ง 3 ด้านต้องสอดคล้อง และสนับสนุนกลยุทธ์หลักขณะเดียวกันในการกำหนดกลยุทธ์ต้องมีการวิเคราะห์และประเมินสภาพแวดล้อมปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงาน เพื่อหาศักยภาพตามความพร้อมขององค์การ
กลยุทธ์องค์การ เป็นกลยุทธ์รวมขององค์การที่กำหนดขึ้น เพื่อระบุทิศทางการตัดสินใจขององค์การว่าต้องการให้องค์การเป็นในอนาคต โดยกำหนดในรูปของภารกิจ วัตถุประสงค์และเป้าหมาย ตลอดจนการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมตามสภาพสังคม เศรษฐกิจ การค้าและบรรยากาศของการแข่งขัน
กลยุทธ์ระบบสารสนเทศ เป็นการกำหนดความต้องการสารสนเทศที่สนับสนุนกลยุทธ์ขององค์การ
โดยเป็นผลจากจากการวิเคราะห์ โดยมีวิธีการวิเคราะห์ที่ใช้อย่างกว้างขวาง 2 วิธี คือ การวิเคราะห์องค์การ
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การวางแผนระบบธุรกิจ และ การวิเคราะห์ปัจจัยแห่งความสำเร็จความต้องการสารสนเทศที่ได้จะนำมาวิเคราะห์ร่วมกับสิ่งแวดล้อมขององค์การเพื่อหาศักยภาพตามความพร้อมขององค์การ รูปแบบกระบวนการทำงานหรือกระบวนงานต่าง ๆขององค์การ ระบบสารสนเทศที่ต้องการ เพื่อนำมาประยุกต์สร้างระบบสารสนเทศโดยจัดลำดับตามความจำเป็น ความสำคัญและความเหมาะสมของระบบสารสนเทศที่ต้องการและเทคโนโลยีที่ต้องใช้ซึ่งต้องปรับกลยุทธ์ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
กลยุทธ์เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการเลือกและตัดสินใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีว่าจะประยุกต์งานระบบสารสนเทศอย่างไร กิจกรรมใดที่ต้องใช้เทคโนโลยี อุปกรณ์ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อบรรลุตามความต้องการในการใช้จัดทำระบบสารสนเทศ และบริการสารสนเทศ
2. ระบบสารสนเทศระหว่างองค์กร (IOS) มีลักษณะอย่างไร และการที่สามารถเข้ามาดูข้อมูลในระบบได้จะมีประโยชน์อย่างไรต่อองค์กร
ตอบ ระบบสารสนเทศระหว่างองค์การ Inter organizational IS
- เป็นระบบสารสนเทศที่เชื่อมโยงกับองค์กรอื่น ๆ ภายนอกตั้งแต่ 2 องค์กรขึ้นไป เพื่อช่วยให้การติดต่อสื่อสารหรือการประสานงานร่วมมือมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนถึงใช้เพื่อการวางแผน ออกแบบ พัฒนา การผลิต และการส่งสินค้าและบริการ
- ปัจจุบันสารสนเทศระหว่างองค์กรนี้มีขอบข่ายเชื่อมโยงเป็น GIS เช่นระบบการจองตั๋วเครื่องบิน
การจำแนกตามหน้าทีขององค์กร
• ระบบสารสนเทศด้านบัญชี (Accounting Information System)
• ระบบสารสนเทศด้านการเงิน(Finance Information System)
• ระบบสารสนเทศด้านการผลิต(Manufacturing Information System)
• ระบบสารสนเทศด้านการตลาด(Marketing System)
• ระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรมนุษย์(Human Management Information System)
Information Resource
ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ
1. ช่วยให้กำหนดกลยุทธ์ และวางแผนปฏิบัติการได้
2. ช่วยให้ตรวจสอบผลการดำเนินงานได้
3. ช่วยให้ศึกษา และวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
4. ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ปัญหา หรืออุปสรรค เพื่อหาวิธีแก้ไข
5. ช่วยลดค่าใช้จ่าย
1. ช่วยให้กำหนดกลยุทธ์ และวางแผนปฏิบัติการได้
2. ช่วยให้ตรวจสอบผลการดำเนินงานได้
3. ช่วยให้ศึกษา และวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
4. ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ปัญหา หรืออุปสรรค เพื่อหาวิธีแก้ไข
5. ช่วยลดค่าใช้จ่าย