วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

แบบฝึกหัด

1.)  จงอธิบายคำต่อไปนี้
1.1  ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง
ตอบ  เป็นระบบที่สร้างจึ้นเพื่อสนับสนุนสารสนเทศและการตัดสินใจสำหรับผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ  โดยใช้หลักการและวิธีการเดียวกับระบบสนับสนุนการตัดสินใจ  แต่พํมนาขึ้นมาเพื่อรองรับงานในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีระบบการตัดสินใจที่ซับซ้อนต้องการความแม่นยำ  และรวดเร็วในการตัดสินใจจากสภาวะหรือผลกระทบภายนอกองค์กร  ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูงจะใช้ข้อมูลจา  3  แหล่งคือ 
     1.  ข้อมูลภายในองค์กร  ได้แก่  งบประมาณ  แผนรายจ่าย  หรือ  แผนการเงิน
     2.  ข้อมูลภายนอกองค์กร  ได้แก่  สำนักข่าว  ตลาดหุ้น 
     3.  ข้อมูลที่ได้จากการประมวลผลรายการประจำวัน
1.2  ระบบสารสนเทศประมงลผลรายการ
ตอบ  ระบบประมวลผลรายการ  หมายถึง  ระบบสารสนเทศที่ใช้ในการเปลี่ยนข้อมูลดิบจากการปฏิบัติงานให้อยู่ในรูปแบบที่เครื่องจักรสามารถอ่านได้  เก็บรายละเอียดรายการ  ประมวลผลรายการและสั่งพิมพ์รายละเอียดรายการ  ออกมาได้  รายการ (transaction)  คือ  การกระทำพื้นฐานที่สินค้าคงคลัง  จัดเป็นรายการทั่งสิ้น
         ระบบประมวลผลรายการนิยมใช้ในการปมลผลบัญชี  การขาย  หรือประมวลผลข้อมูลสิ้นค้าคงคลัง  เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้เป็นที่ต้องการของระบบสารสนเทศอื่น ๆ  ในองค์กร  ในการดำเนินการของระบบประมวลผลรายการ  ข้อมูลถูกนำไปยังคอมพิวเตอร์ของระบบสารสนเทศ  โดยใช้แป้นพิมพ์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ  ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์จนกระทั่วพร้อมที่จะถูกประมวลผล  หลังจากที่ข้อมูลถูกป้อนเข้าไปแล้ว  จะเกิดการประมวลผลเพื่อเปลี่ยนข้อมูลเป็นสารสนเทศที่มีประโยชน์ในการจัดการ  โดยระบบประมวลผลรายการจะทำการบันทึกรายการลงไปฐานข้อมูลและผลิตเอกสารที่เกี่ยวข้องกับรายการนั้นออกมา  อาจอยู่ในรูปแบบของรายงาน  ตาราง  กราฟ  ภาพเคลื่อนไหว  และเสียงฯลฯ  ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้สารสนเทศนั้น ๆ
1.3  ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ตอบ  ในการใช้การประมวลรายการทำให้การประมวลผลการดำเนินการธุรกิจทำได้รวดเร็วขึ้นและลดค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานลงได้แต่จะเห็นได้ชัดว่าข้อมูลที่เก็บได้จากการประมวลผลรายการ  สามารถช่วยให้ผู้บริหารนำมาใช้ในการตัดสินใจในการดำเนินงานได้ดีขึ้น  จึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานด้านการจัดการของผู้บริหารขึ้นเรียกว่าระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ  ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการหมายถึง  กลุ่มของบุคคล  ขบวนการ  ซอฟต์แวร์  ฐานข้อมูล  และอุปกรณ์ต่างๆ  ที่ถูกจัดการเพื่อใช้ในการจัดการสารสนเทศที่เกิดขึ้นเป็นประจำให้แก่ผู้บริหารหรือผู้ทำการตัดสินใจ  จุดประสงค์หลักของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ  อยู่ที่การดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพในด้านการตลาด  การผลิต  การเงิน  และส่วนงานอื่น ๆ  โดยใช้และจัดเก็บข้อมูลลงในฐานข้อมูล
         ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดกาเป็นระบบสารสนเทศที่ใช้ในการผลิตรายงานด้านการจัดการ  ซึ่งจะใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจในระดับปฏิบัติงาน  ระดับยุทธวิธี  และระดับกลยุทธ์  โดยรายงานที่เกิดขึ้นมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับระดับของการจัดการในองค์กร  แบ่งออกเป็น  3  ประเภทคือ  รายงานตามตารางเวลา  (scheduled  report)  รายงานกรณืยกเว้น  (exception  report)  และรายงานตามคำขอ  (demand  report)
1.4  ระบบสารสนเทศเพื่อการรายงาน
ตอบ 
1.5  ระบบสารสนเทศผู้เชี่ยวชาญ
ตอบ   มีลักษณะคล้ายระบบสารสนเทศประเภทอื่น ๆ คือ เป็นระบบคอมพิวเตอร์ ที่ช่วยผู้บริหารแก้ปัญหา หรือสนับสนุนการตัดสินใจ แต่จะแตกต่างจากระบบสารสนเทศประเภทอื่นตรงที่ ใช้หลักการทำงานด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence ) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ มากกว่าการจัดการ
สารสนเทศ  ระบบผู้เชียวชาญเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบขั้นตอนและวิธีการในการคิด วิเคราะห์  เพื่อแก้ไขปัญหาโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขาใด ๆ ระบบผู้เชี่ยวชาญสามารถนำไปใช้ในขั้นตอนการให้คำปรึกษา หรือสนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่ยากและซับซ้่อน ณ สถานการณ์ใด ๆ
ได้  ระบบผู้เชียวฃาญจะเลือกเฉพาะสาขาหรือ เฉพาะด้านที่ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญ การสร้างระบบผู้เชี่ยวชาญต้องการข้อมูลจำนวนมากจากผูั้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้น ๆ เพื่อเก็บข้อมูลอย่างละเอียดลงในฐานข้อมูล ที่เรียกว่าฐานความรู้ จากนั้นกลไกการวินิจฉัย ซึ่งเปรียบได้กับสมองของระบบจะทำการ
ตรวจสอบข้อมูลที่มีอยู่ในฐานความรู้ และเลือกข้อมูลที่เหมาะสมที่สุดด้วยวิธีการในการคิดหาคำตอบ อย่างมีเหตุผลและเป็นขั้นเป็นตอน พร้อมกับต้องมีส่วนของการติดต่อกับผู้ใชที่มีความสะ้ดวก เพื่อให้เกิดความพึงพอใจ และใช้งานระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.6  ระบบปัญญาประดิษฐ์

ตอบ  ปัญญาประดิษฐ์  คือ  ศาสตร์แขนงหนึ่งทางด้านวิทยาศาสนค์และเทคโนโลยีทีมีพื้นฐานมาจากวิชาวิทยา  การคอมพิวเตอร์  ชีววิทยา  จิตวิทยา  ภาษาศาสตร์  คณิตศาสตร์  และวิศวกรรมศาสตร์  เปป้าหมายคือ  การพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้มีพฤติกรรมเลียนแบบมนนุษย์รวมทั้งเลียนแบบความเป็นอัจฉริยะของมนุษย์
ลักษณะของงานปํญญาประดิษฐ์
1.  Cognitive  Science  งานด้านนี้เน้นวิจัยเพื่อศึกษาว่าสมองของมนุษย์ทำงานอย่างไร  และมนุษย์คิดและเรียนรู้อย่างไร  จึงมีพื้นฐานที่การประมวลผลสารสนเทศในรูปแบบของมนุษย์ปรพกอบด้วยระบบต่าง ๆ  ระบบผู้เชี่ยวชาญ  ระบบเครือข่ายนิวรอน  ระบบแบ๊บเน๊ต  ฟัสซี่โลจิก  เจนเนติกอัลกอริทีม  เอเยนต์ชาญฉลาด  ระบบการเรียนรู้
2.  Roboics  พื้นฐานของวิศวกรรมและสรีรศาสาตร์  เป็นการพยายามสร้างหุ่นยนต์ให้มีความฉลาดและถูกควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์แต่สามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนกับมนุษย์
3.  Natural  Interface  งานด้านนี้ได้ชื่อวย่าเป็นงานหลักที่สำคัญที่สุดของปัญญาประดิษฐ์  และพัฒนาบนพื้นฐานของภาษาศาสตร์  จิตวิทยา  และวิทยาการคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยงานด้านต่าง ๆ  ระบบที่มีความสามารถในการเข้าใจภาษามนุษย์  ระบบภาพเสมือนจริง  ระบบปัญญาประดิษฐ์แบบผสมผสาน
2.) จงอธิบาย  TPS  DSS และ MIS  แตกต่างกันอย่างไร
ตอบ  ระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ  (Transaction  Processing  System)  หรือที่เรียกว่า  TPS  หมายถึง  ระบบสารสนเทศที่ถ฿กออกแบบและพัฒนาขึ้น  เพื่อให้ทำงานเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในองค์การ  โดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์  โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์  เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลักของระบบ  โดยที่  TPS  จะช่วยสนับสนุนให้การดำเนินงานในแต่ละวันขององค์การเป็นไปอย่างเรียบร้อยและเป็นระบบ  โดยเฉพาะปัจจุบันที่การดำเนินงานในแต่ละวันมักจะเกี่ยวข้องกับข้อมูลเป็ตจำนวนมาก  อีกทั้งยังช่วนให้ผ้สามารถถเรียกสารสนเทศมาอ้างอิงอย่างสะดวกและถูกต้องในอนาคต
        ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ  (Decision  Supporting  System)  หรือที่เรียกว่า  DSS  หมายถึง  ระบบสารสนเทศที่จัดหาหรือจัดเตรียมข้อมูลสำคัญสำหรับผ้บริหาร  เพื่อจะช่วนในการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือเลือกโอกาสที่เกิดขึ้น  ปกติปัญหาของผู้บริหารจะมีลักษณะที่เป็นกึ่งโครงสร้าง  (Semi-struture)  และไม่มีโครงสร้าง  (Nonstructure)  ซึ่งยากต่อการวางแนวทางรองรับหรือแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ประการสำคัญ  Dss  จะไม่ทำการตัดสินใจให้กับผู้บริหาร  แต่จะจัดหาและประมวลผลสารสนเทศหรือสิ่งต่าง ๆ  ที่จำเป็นในการตัดสินใจให้กับผู้บริหาร  ปัจจุบัน  DSS  ได้รับการพัฒนาและนำไปใช้ในองค์การ  เนื่องจากเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากบุคคลหลายฝ่าย  และเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้บริหาร 
         ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ  (Management  Information  System)  หรือที่เรียกว่า  MIS  หมายถึง  ระบบที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้งภายใน และภายนอกองค์การอย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อนำมาประมวลผลและจัดรูปแบบให้ได้สารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการทำงาน และการตัดสินใจในด้านต่าง ๆ ของผู้บริหารเพื่อให้การดำเนินงานขององค์การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่เราจะเห็นว่า MIS จะประ กอบด้วยหน้าที่หลัก 2 ประการ   1. สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งจากภายในและภายนอกองค์การมาไว้
ด้วยกันอย่างเป็นระบบ
 
2. สามารถทำการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ช่วย
สนับสนุนการปฏิบัติงานและการบริหารงานของผู้บริหาร

         ดังนั้นถ้าระบบใดประกอบด้วยหน้าที่หลักสองประการ ตลอดจนสามารถปฏิบัติงานในหน้าที่หลักทั้งสองได้อย่างครบถ้วน และสมบูรณ์ ระบบนั้นก็สามารถถูกจัดเป็นระบบ MIS ได้ ระบบ MIS ไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างขึ้นจากระบบคอมพิวเตอร์ MIS อาจสร้างขึ้นมาจากอุปกรณ์อะไรก็ได้ แต่ต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่หลักทั้งสองประการได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ แต่เนื่องจากปัจจุบันคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูล นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analyst and Designer ) จึงออกแบบระบบสารสนเทศให้มีคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักในการจัดการสารสนเทศ 
          ปัจจุบันขอบเขตการทำงานของระบบสารสนเทศขยายตัวจากการรวบรวมข้อมูลที่มาจากภายในองค์การไปสู่การเชื่อมโยงกับแหล่งข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งจากภายในท้องถิ่น ประเทศ และระดับนานาชาติ ปัจจุบันธุรกิจต้องใช้เทคโนโลยีสาร สนเทศที่มีศักยภาพ สูงขึ้นเพื่อสร้าง MIS ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่ม ขีดความสามารถของธุรกิจ และขีดความสามารถในการบริหารงานของผู้บริหารในยุคปัจจุบัน แต่ปัญหาที่น่าเป็นห่วงคือคน ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจในศักยภาพและขอบเขตของการใช้งานระบบสารสนเทศ (MIS) นอกจากนี้บุคลากรบางส่วนที่ขาดความเข้าใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการใช้งานระบบสารสนเทศ ไม่ยอมเรียนรู้และเปิดรับการเปลี่ยนแปลง จึงให้ความสนใจหรือความสำคัญกับการปรับตัวเข้ากับ MIS น้อยกว่าที่ควร
3.)  คำว่าเทคโนโลยีและสารสนเทศคืออะไร  และนักศึกษาได้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอะไรบ้างในชีวิตประจำวัน
ตอบ  เทคโนโลยี  หมายถึง  สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้น  เพื่อช่วนในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ  เช่น  อุปกรณ์  เครื่องมือ  เครื่องจักร  วัสดุ  หรือ  แม้กระทั่งที่ไม่ได้เป็นสิ่งของที่จับต้องได้เช่น  กระบวนการต่างๆ  เทคโนโลยี  เป็นการประยุกต์นำเอาความรู้ทางวิทยาศาสาตร์มาใช้และกอให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติแก่มวลมนุษย์กล่าวคือ  เทคโนโลยีเป็นการนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ  ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  ส่วนที่เป็นข้อแตกต่างอย่างหนึ่งของเทคโนโลยีกับวิทยาศาสตร์ คือ  เทคโนโลยีจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ  เป็นสิ้นค้ามีการซื้อขาย  ส่วนความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นสมบัติส่วนรวมของชาวโลกมีการเผยแพร่โดยไม่มีการซื้อขายแต่อย่างใด  กล่าวโดยสรุปคือ  เทคโนโลยีสมัยใหม่เกิดขึ้นโดยมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นฐานรองรับ
          สารสนเทศ  หมายถึง  ข้อมูลที่มีสาระอยู่ในตัว  สามารถสื่อความหมายให้เกิดการเข้าใจกับผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูลนั้น  และสามารถที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้  การที่จะได้มาซึ่งสารสนเทศที่ต้องการนั้นจะต้องนำข้อมูล  ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจมาทำการประมวลผลเสียก่อน  โดยข้อมูลที่นำมาประมวลผลนั้นอาจจะมาจากแหล่งข้อมูลทั้งภายในหรือภายนอกองค์การ
         ในชีวิตประจำวัน  เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารต่างๆ  เช่น  โทรศัพท์  โทรทัศน์  วิทยุ  อินเตอร์เน็ตฯลฯ  ต้องมีการติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ  และสื่อสารกันอย่างเป็นระบบ  ในชีวิตประจำวันนั้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับมนุษย์แต่หากใช้ในทางที่ผิดอาจเป็นอันตรายต่อตัวเราเองได้
4.  การใช้เทคโนโลยีและผลกระทบทางลบและผลกระทบทางบวกจงอธิบาย
ตอบ  ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางกลายเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศหรือยุคข้อมูลข่าวสาร  และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างมหาศาลนั้น  หมายถึง  ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอระไรก็ตามย่อมมีผลกระทบต่อบุคคล  องค์การ  หรือสังคมทั้งทางบวกหรือทางลบ  ทั้งนี้สามารถจำแนหผลกระทบทางบวกของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้ดังนี้
         1.  เพิ่มความสะดวกสบายในการสื่อสาร  การบริการ  และการผลิต  ทำให้ชีวิตคนในสนังคมได้รับความสะดวกสบาย  เช่น  การติดต่อผ่านธนาคารด้วยระบบธนาคารที่บ้าน  การทำงานที่บ้าน  ติดต่อสื่อสารด้วยเครือข่ายอินเตอร์เน็ต  หรือการบันเทิงพักผ่อนด้วยระบบมัลติมีเดียที่บ้าน
         2.  เกิดสังคมแหงการสื่อสารและสังคมโลก  เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเอาชนะเรื่องระยะทาง  เวลา  และสถานที่ได้ด้วยความเร็วในการติดต่อสื่อสารที่เป็นเครือข่ายความเร็วสูง  และที่เป็นเครือข่ายแบบไร้สาย  ทำใหมนุษย์แต่ละคนในสังคมสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็ว
         3.  มีระบบผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ  ในฐานข้อมูลความรู้  เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านที่เกี่ยวกับสุขภาพและการแพทย์  แพทย์ที่อยู่ในชนบทก็สามารถวินิจฉัยโรคจากฐานข้อมูลความรู้ของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางการแพทย์ในถาบันการแพทย์ที่มีชื่อเสียงได้ทั่วโลก  หรือใช้วิธีปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในระบบทางไกลได้ด้วย
         4.  เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างโอกาสให้คนพิการ  หรือผู้ด้อยโอกาสจากการพิการทางร่างกาย  เกิดการสร้างผลิตภัณฑ์ช่วยเหลือคนพิการให้สามารถพัฒนาทักษะและความรู้ได้ เพื่อให้คนพิการเหล่านัเนสามารถช่วยเหลิอตนเองได้  ผู้พิการจึงไม่ถูกทอดทิ้งให้เป็นภาระของสังคม
         5.  พัฒนาคุณาภาพการศึกษาโดยเกิดการศึกษาในรูปแบบใหม่  กระตุ้นความสนใจแก่ผู้เรียนโดยใช้ คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการสอน  และการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์  ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น  ไม่ซ้ำซากจำเจ  ผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ  ได้ด้วยระบบที่เป็นมัลติมีเดีย  นอกจากนั้นยังมีบทบาทต่อการนำมาใช้ในการสอนทางไกล  เพื่อผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาในชนบทที่ห่างไกล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น